'ประกันภัยรถยนต์' สำคัญอย่างไร? พร้อมขั้นตอนดูแลรถหลังลุยน้ำท่วมให้พร้อมใช้งานอีกครั้ง
หลายพื้นที่ประสบปัญหากับมีแหล่งน้ำท่วมขัง หรือน้ำรอการระบายออกจากท้องถนน ทำให้ผลตามมา คือ น้ำท่วม ถ้าหากจำเป็นต้องขับรถเพื่อลุยน้ำท่วม การดูแลรถยนต์หลังลุยน้ำท่วมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้รถยังคงใช้งานได้ดี แต่ความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมอาจมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าที่คุณคาดไว้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการมี ‘ประกันภัยรถยนต์’ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ด๊อกเตอร์ มันนี่ จะพาคุณมาทำความเข้าใจขั้นตอนการดูแลรถหลังน้ำท่วม และความสำคัญของการทำ ‘ประกันภัยรถยนต์’ ที่จะช่วยลดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม
ความสำคัญของ 'ประกันภัยรถยนต์' เมื่อเกิดน้ำท่วม
ประกันภัยรถยนต์ มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นน้ำท่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณทำประกันภัยชั้น 1 ซึ่งครอบคลุมถึงความเสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์น้ำท่วม ไม่ว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า หรือชิ้นส่วนอื่น ๆ การมีประกันภัยจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและการเคลมประกันยังช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่ารถของคุณจะได้รับการซ่อมแซมอย่างถูกต้องและครบถ้วน
'ประกันภัยรถยนต์' ที่ครอบคลุมน้ำท่วม
ประกันภัยชั้น 1
ครอบคลุมทุกความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับรถยนต์ รวมถึงความเสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดจากน้ำท่วม ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับการซ่อมแซมที่ครอบคลุมมากที่สุด
ประกันภัยชั้น 2+
อาจให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเช่นกัน แต่ความคุ้มครองอาจจะจำกัดในบางส่วน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกันภัยที่คุณเลือก
ข้อแนะนำ
หากคุณยังไม่มีประกันภัยรถยนต์ที่ครอบคลุมเหตุการณ์น้ำท่วม การเลือกประกันภัยชั้น 1 จะช่วยให้คุณอุ่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีโอกาสเกิดน้ำท่วมสูง
ขั้นตอนการดูแลรถหลังลุยน้ำท่วม
เช็กระบบเครื่องยนต์ก่อนใช้งาน
ก่อนที่จะใช้รถหลังจากผ่านน้ำท่วม ควรสตาร์ทรถและฟังเสียงเครื่องยนต์ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ หากเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ เช่น สั่น เสียงดัง หรือมีควัน ควรหยุดใช้งานและนำรถไปตรวจสอบที่ศูนย์บริการทันที
ตรวจสอบระบบไฟฟ้าของรถ
น้ำท่วมอาจทำให้ระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์เสียหาย โดยเฉพาะกล่องควบคุมระบบไฟฟ้าหรือ ECU (Electronic Control Unit) ซึ่งเปรียบเสมือนสมองกลของรถ เนื่องจากเป็นตัวควบคุมการสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อกล่อง ECU โดนน้ำอาจเกิดการลัดวงจร ส่งผลให้เครื่องยนต์ดับและไม่สามารถทำงานต่อได้ ดังนั้น ควรตรวจสอบระบบไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี่ สายไฟ และฟิวส์ต่างๆ หากพบว่าสายไฟหรือส่วนประกอบใดเกิดความชื้น ควรทำการตากหรือทำให้แห้งก่อนที่จะใช้งาน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร
เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและของเหลวต่างๆ
เมื่อรถลุยน้ำท่วม มีโอกาสที่น้ำจะเข้าสู่ระบบเครื่องยนต์และส่วนต่างๆ ดังนั้น การตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก และของเหลวอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อลดโอกาสที่เครื่องยนต์จะเกิดการเสียหายจากน้ำที่เข้ามาปนเปื้อน
เช็กระบบเบรก
เบรกเป็นส่วนสำคัญของความปลอดภัย หากคุณต้องขับรถลุยน้ำท่วม ควรตรวจสอบระบบเบรกอย่างละเอียด เพราะน้ำอาจทำให้ผ้าเบรกหรือจานเบรกเสื่อมสภาพได้ หากพบความผิดปกติ เช่น เบรกไม่หนืดหรือมีเสียงดัง ควรรีบแก้ไขหรือเปลี่ยนใหม่ทันที
ตรวจสอบช่วงล่างและยางรถยนต์
ช่วงล่างของรถอาจได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ควรตรวจสอบความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับระบบช่วงล่าง รวมถึงตรวจสอบสภาพยางว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่ มีรอยแตก หรือมีความเสียหายจากการลุยน้ําท่วมหรือไม่ ยางที่เสื่อมสภาพอาจทำให้รถไม่เกาะถนนและเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
การเคลมประกันภัยรถยนต์หลังน้ำท่วม
เมื่อรถของคุณได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และคุณมี ‘ประกันภัยรถยนต์’ ที่ครอบคลุม คุณสามารถติดต่อบริษัทประกันภัยเพื่อดำเนินการเคลมประกันได้เลยทันที โดยเตรียมเอกสารที่จำเป็น เช่น รูปถ่ายความเสียหาย และใบรายงานเหตุการณ์น้ำท่วม เพื่อยืนยันสถานการณ์
การป้องกันความเสียหายในอนาคต
เลือกประกันภัยที่คุ้มครองน้ำท่วม
หากคุณอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมสูง ควรพิจารณาทำประกันภัยรถยนต์ที่ครอบคลุมเหตุการณ์น้ำท่วม เช่น ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1
ติดตามการพยากรณ์อากาศ
การรู้ล่วงหน้าถึงสภาพอากาศจะช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงการขับรถไปในพื้นที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมได้
เช็กระดับน้ำก่อนขับรถลุยน้ำ
- ระดับน้ำที่สูงกว่า 10-15 เซนติเมตร: เป็นระดับน้ำที่สูงพอที่จะทำให้ยางรถยนต์สูญเสียการยึดเกาะกับพื้นถนน ส่งผลให้ควบคุมรถยากและเสี่ยงต่อการลื่นไถล
- ระดับน้ำที่สูงกว่า 25 เซนติเมตร: น้ำที่สูงเกินกว่า 25 เซนติเมตรอาจเริ่มเข้าสู่ใต้ท้องรถและอาจเข้าสู่ท่อไอเสียหรือระบบไฟฟ้าของรถ ทำให้เกิดปัญหากับเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้า
- ระดับน้ำที่สูงกว่า 30 เซนติเมตร: เมื่อระดับน้ำถึง 30 เซนติเมตรหรือลึกกว่านี้ น้ำจะเริ่มเข้าสู่ภายในห้องโดยสารและอาจทำให้เครื่องยนต์ดับได้ การขับลุยในระดับนี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียหายทั้งเครื่องยนต์และตัวรถ
**ควรหลีกเลี่ยงการขับลุยน้ำในระดับที่สูงกว่า 25-30 เซนติเมตร จะช่วยป้องกันความเสียหายรุนแรงต่อรถยนต์
ข้อแนะนำ
การดูแลรถหลังจากลุยน้ำท่วมเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การตรวจสอบระบบต่างๆ อย่างละเอียดจะช่วยป้องกันความเสียหายระยะยาวและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน รวมถึงการทำ ประกันภัยรถยนต์ ที่ครอบคลุมเหตุการณ์น้ำท่วมสามารถช่วยแบ่งเบาค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
“ด๊อกเตอร์ มันนี่ อินชัวร์” ชัวร์ทุกเรื่องประกันภัย บริการประกันภัยที่สะดวกรวดเร็ว พร้อมให้บริการและคำปรึกษาโดยไม่ต้องมาสาขา สามารถสอบถามและเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์ได้ที่ เว็บไซต์ Doctor Money Insure
เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ
กรอกแบบฟอร์มด้านล่างเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของเราติดต่อกลับ
เมื่อกดยืนยันส่งข้อมูล ถือว่าคุณอ่านและรับทราบ นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรียบร้อยแล้ว